ปัจจุบันความตื่นตัวเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC เริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนทุกมากขึ้นในทุกภาคส่วนของผู้คนในขณะนี้ ว่าจะมีผลดีผลเสียต่อการประกอบอาชีพ การดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้างหลังจากเปิด AEC แล้ว โดยเฉพาะภาคการเกษตร ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย ยังประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม จะมีผลกระทบในเชิงลบ หรือทางบวก ได้รับผลประโยชน์จาก AEC มากน้อยเพียงได ต้องปรับตัวหรือเตรียมกันอย่างไร
สำหรับประชาคมอาเซียน (Asean Economic Community : AEC) ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิก10 ประเทศ ได้แก่ ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา และ บรูไน มีประชากรรวมกัน ประมาณ 600 ล้านคน หรือกล่าวได้ว่าตลาดการค้าการลงทุนจะขยายเพิ่มจาก 62 ล้านคนภายในประเทศไทยเป็น 600 ล้านคน การผลิตสินค้าเกษตรและอาหารจากเดิมที่มุ่งเน้นผู้บริโภคคนไทยด้วยกัน ต่อจากนี้จะต้องให้ความสำคัญกับผู้บริโภคที่ที่อยู่ในอีก 9 ประเทศเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน ก็จะมีเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตร ผู้ประกอบการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรและอาหารในอีก 9 ประเทศที่คิดเช่นเดียวกันกับเรา และจะเข้าสู่ตลาดและดำเนินนโยบายทางการผลิตและการตลาดแข่งขันกับเรา เช่น นโยบายทางด้านราคา ด้านต้นทุนและด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น
ดังนั้น การเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเชียน หรือการเปิดเสรีทางการค้าจะทำให้สินค้าเกษตรและอาหารจะเคลื่อนย้ายผ่านกลไกการขนส่งได้อย่างเสรี ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อการเพิ่มพูนปริมาณการค้าและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศให้เพิ่มขึ้น จากการที่สินค้าเกษตรและอาหารจะถูกส่งไปจำหน่ายยังตลาดของประเทศในกลุ่มด้วยต้นทุนที่ถูกลง เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรที่แต่ละประเทศได้เคยกำหนดไว้ ระบบตลาดจะปรับตัวเข้าสู่สภาวะที่ซึ่งผู้ผลิตแต่ละรายจะดำเนินการผลิตสินค้าที่ตนเองมีความได้เปรียบในการแข่งขัน กล่าวคือผู้ผลิตที่สามารถผลิตสินค้าได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าแต่ยังรักษาระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้า ผู้ผลิตที่มีประสบการณ์หรือทักษะในการผลิตสูง และสามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตทีมีคุณภาพได้ในราคาที่ถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ จะดำเนินการผลิตสินค้าและส่งไปจำหน่ายในต่างประเทศ ขณะเดียวกันผู้ผลิตรายอื่นก็จะปรับตัวหันไปผลิตสินค้าที่ตนเองมีความถนัดกว่า จึงเกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากัน โดยสินค้าที่แลกเปลี่ยนกันนั้นผู้ซื้อจะมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจากเดิม เพราะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นและมีราคาจำหน่ายหรือมีต้นทุนต่ำกว่า
นอกจากนั้นทรัพยากรภายประเทศของแต่ละประเทศ จะถูกใช้ประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มได้ดีขึ้นกว่าการไม่เปิดเสรี เช่น สินค้าบางประเภทเราจะพบเห็นว่าเวลาเพื่อนเดินทางไปต่างประเทศจะมีการฝากซื้อสินค้า เนื่องจากว่ามีราคาถูกกว่าการซื้อภายในประเทศ ทั้งนี้ในการกลับกันก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามการเปิดเสรีทางการค้าสินค้าเกษตรและอาหารนั้น เป็นการดำเนินการตกลงกันที่จะลดอุปสรรคทางการค้าทางด้านภาษีศุลกากรโดยการลดและเลิกไปในที่สุด ส่วนอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี แต่ละประเทศยังสามารถที่จะกำหนดได้ เช่น เงื่อนไขมาตรการสุขอนามัยพืชและสุขอนามัยสัตว์ ที่แต่ละประเทศมีกฎ ระเบียบไว้เพื่อการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคมิให้ได้รับอันตรายจากการบริโภคสินค้าและอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี สารชีวภาพ วัตถุอันตรายต่างๆ และเงื่อนไขพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ที่รักษาระดับความหลากหลายทางชีวิภาพของประเทศ ทั้งสินค้าที่จะนำเข้ามาหรือจะนำออกไป
ดังนั้นในการเปิดเสรีทางการค้าสินค้าเกษตรและอาหารนั้น เกษตรกรในทุกระดับจะต้องปรับตัวโดยการติดตามข้อมูลทางการตลาด พฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภค ข้อมูลการผลิตของเกษตรกรในต่างประเทศ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาบริหารจัดการต้นทุนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพกะบวนการผลิต การสร้างความแตกต่างในสินค้า ที่สำคัญการปรับตัวเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานกระบวนการผลิตและมาตรฐานสินค้า และระบบการตรวจสอบย้อนกลับ
ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันได้ว่าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานซึ่งผลิตด้วยกระบวนการที่ปนเปื้อนสารเคมี วัตถุอันตรายและมีราคาถูก จะไม่สามารถเข้ามาจำหน่ายได้ภายในประเทศไทยและกลายเป็นคู่แข่งขันหรือทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคภายในประเทส นอกจากนั้นการเสริมสร้างขีดความสามารถของกลุ่มสหกรณ์การเกษตรให้สามารถเข้าสู่ตลาดอาเซียน จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนและเปลี่ยนบทบาทของเกษตรกรรายย่อยให้มีพื้นที่ทางการตลาดในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น
นอกจากการเปิดเสรีทางด้านการค้าและ ประชาคมอาเซียนยังเปิดให้มีการลงทุนอย่างเสรี จะส่งผลให้นักลงทุนสามารถเคลื่อนย้ายการเงินทุนหรือการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตสินค้า กล่าวคือ นักลงทุนไทยสามารถไปลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น การไปลงทุนทำธุรกิจรวบรวมสินค้าเกษตรและแปรรูปแล้วส่งออกไปจำหน่าย (โรงสีข้าว โรงงานมันสำปะหลัง) หรือการลงทุนทำการเกษตรกรรมผลิตสินค้าเกษตรขั้นต้น แล้วส่งออกผลผลิตมาแปรรูปขั้นกลาง ขั้นสูงในประเทศไทย เป็นต้น ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็จะมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นกลางและขั้นสูง หรือ การลงทุนผลิตปัจจัยการผลิตทางด้านการเกษตร เช่น เครื่องมือเครื่องจักรทางการเกษตร เทคโนโลยีทางด้านการเกษตร เป็นต้น
ระบบเศรษฐกิจในลักษณะนี้ จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในตลาดปัจจัยการผลิต เกษตรกรจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ในการเลือกซื้อปัจจัยการผลิตที่มีมาตรฐานคุณภาพและราคาที่ถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ ขนาดการผลิตสินค้าเกษตรขั้นต้นจะปรับตัวให้เหมาะสมกับศักยภาพของเกษตรกรแต่ละครัวเรือน นั้นหมายถึงเกษตรกรไทยจะมุ่งผลิตสินค้าเกษตรที่เน้นคุณภาพ มากกว่าเน้นปริมาณ ที่ซึ่งเกษตรกรไทยมีความแตกต่างจากการใช้ฝีมือการผลิตที่เป็นจุดแข่ง รายได้สุทธิจากการผลิตจะปรับตัวเปลี่ยนผ่านเพิ่มขึ้นเมื่อตลาดเข้าสู่สมดุล ปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรจะลดลงเนื่องจากเกษตรกรปรับตัวจากระบบการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นเน้นปริมาณ ไปสู่ระบบการผลิตที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้มข้นและเน้นคุณภาพสินค้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในเรื่องการเปิดเสรีการลงทุนนั้น จะต้องมีกฎระเบียบในการกำกับดูแลและสร้างบรรยากาศการลงทุนที่โปร่งใส่ เพื่อให้โอกาสแก่นักลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และไม่เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ต้องการเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรของประเทศหรือมาลงทุนในกิจการที่ทำลายสิ่งแวดล้อมของไทย และที่สำคัญจะต้องสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่นักลงทุนนำเข้ามา มิฉะนั้นประเทศไทยจะเสียโอกาสและไม่ได้ประโยชน์
การเปิดเสรีทางด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน เมื่อมีระบบเศรษฐกิจอาเซียนมีการปรับตัวเข้าสู่สมดุลรอบใหม่แล้ว และจากการที่ปริมาณการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของแต่ละประเทศขยายตัว จะส่งผลให้เกิดความต้องการแรงงานทางด้านเกษตรรวมทั้งแรงงานฝีมือด้านอื่นๆเพิ่มขึ้น ตลาดแรงงานที่มีทักษะฝีมือจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นในแต่ละประเทศ ค่าจ้างแรงงานภายในกลุ่มอาเซียนจะปรับตัวเข้ามาใกล้เคียงกันตามสภาพแวดล้อมการทำงานหรือมีความแตกต่างกันน้อยลง โอกาสที่แรงงานภาคเกษตรที่เป็นชาวต่างประเทศที่เคยมีอยู่ภายในประเทศจะเคลื่อนย้ายกลับสู่ประเทศเดิมจึงมีสูง ทั้งนี้รวมถึงแรงงานฝีมือของไทยก็อาจถูกจ้างในราคาที่สูงกว่าเพื่อไปทำงานในระดับการควบคุมกระบวนงานการผลิตด้านการเกษตร ในประเด็นนี้จึงเป็นทั้งโอกาสและผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทย ซึ่งผลกระทบจะมาก่อนโอกาส นั้นหมายถึง จะกดดันเร่งเร้าให้เกษตรกรต้องปรับตัว ต้องขยันเรียนรู้และก้าวทันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศึกษาเรียนรู้ในทุกๆด้านเพื่อวิเคราะห์หาทางเลือกที่จะอยู่ร่วมและอยู่รอด โดยการปรับลดขนาดการผลิตให้เหมาะสม กล่าวคือ เหมาะสมกับแรงงานภายในครัวเรือน และหันไปใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่มาทดแทนแรงงาน และหรือปรับระบบการผลิตสินค้าเกษตรให้มีความแตกต่าง และเมื่อก้าวข้ามผลกระทบไปได้โอกาสทางการตลาดที่ดีกว่าจะเข้ามาแทนที่ อย่างไรก็ตามการเพิ่มขีดความสามารถ หรือการเพิ่มสมรถนะของแรงงานภาคการเกษตรมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบันเกษตรบางส่วนเป็นเพียงผู้จัดการแปลงผู้จัดการนา จ้างแรงงานที่มีทักษะบ้างไม่มีทักษะบ้างเข้ามาทำงานในแต่ละขั้นตอนการผลิต ซึ่งผู้จัดการก็ขาดความรู้ความเข้าใจในการควบคุมกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
โดยสรุปการเปิดเสรีสินค้าเกษตรในกรอบของ AEC สำหรับประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์จากภาษีที่ลดลง มีตลาดที่กว้างขึ้น สินค้าวัตถุดิบที่เป็นปัจจัยการผลิตนำเข้าราคาถูก ทำให้ลดต้นทุนการผลิตเพื่อการส่งออกเสริมสร้างโอกาสในการลงทุน ขยายกิจการ ย้ายฐานการผลิต เกิดการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ในสินค้าและบริการ มีการพัฒนาและเพิ่มคุณภาพบุคลากร แรงงาน ลดช่องว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพิ่มอำนาจการซื้อมากขึ้นในส่วนของผลกระทบ จะมีผลต่อเกษตรกรของไทยบางส่วนอาจทำให้ราคาสินค้าตกต่ำได้ เมื่อมีการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากอาเซียน 9 ประเทศ อุตสาหกรรมเกษตรที่มีประสิทธิภาพการผลิตต่ำอาจแข่งขันไม่ได้ มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีจะถูกนำมาใช้มากขึ้น นักลงทุนอาเซียนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น แรงงานฝีมือของไทยอาจเคลื่อนย้ายออกไปตลาดต่างประเทศที่มีค่าตอบแทนสูงกว่า ซึ่งในเรื่องเหล่านี้ทางผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมการหามาตรการมารองรับและหาทางออกไว้พร้อมแล้ว
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า |